ภายหลังจากมีการโพสต์คลิปที่มีชื่อว่า “สะพรึง!! หลังซื้อบ้านโครงการดัง 40 ล้าน” บอกเล่าเรื่องราวสุดปวดใจ เมื่อซื้อบ้านสุดหรูหราแห่งหนึ่ง ย่านถนนรัชดาฯ-รามอินทรา 2 ในราคาที่สูงถึง 40 ล้านบาท แต่กลับต้องเผชิญกับปัญหาฝูงปลวกเข้ามารุมทึ้งบ้าน และหลังคารั่ว จนมีการแชร์ไปทั่วสื่อสังคมออนไลน์
จะเป็นไปได้หรือ? ที่วิมานสวรรค์ที่มีมูลค่าสูงถึงขนาดนั้น จะต้องเผชิญกับสารพัดปัญหาดังที่มีการกล่าวอ้าง จนผู้ที่ซื้อต้องชอกช้ำระกำใจ ถึงกับต้องหลุดอุทานออกมาเหมือนดังเช่นในคลิปว่า โอ้โห...จะขอเปลี่ยนบ้านหลังใหม่เลย จะได้ไหมเนี่ย?
ในวันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะขอขันอาสา นำข้อมูลของทั้งสองฝ่ายมาไล่เรียงให้แฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ ได้รับฟังอย่างรอบด้าน
โดยในวันที่ 5 ก.ค.59 (วานนี้) ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้ลงพื้นที่ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงทั้งหมดกับเจ้าของบ้าน ซึ่งรับว่าเป็นผู้โพสต์คลิปดังกล่าวเพื่อรับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด และก็ถือว่าเป็นโชคดีของทีมข่าวฯ เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากทราบว่า ทางเจ้าของโครงการ จะส่งผู้แทนเข้ามารับฟังและช่วยเหลือปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมด ในวันนี้เช่นกัน โดยเมื่อผู้สื่อข่าวเดินทางไปถึง สิ่งแรกที่ทีมข่าวฯ ของเรา สัมผัสได้คือ บรรยากาศในการพบครั้งนี้ แฝงไว้ด้วยคราบไคลแห่งความทุกข์ระทม เนื่องจาก นางสาวสิริกัญญา เรืองทอง เจ้าของบ้าน นักธุรกิจสาวเจ้าของร้านขายยา และมินิมาร์ตหลายแห่งในเกาะสมุย อยู่ในอาการเศร้าสร้อยและยังไม่พร้อมที่จะพูดจาใดๆ กับเรานัก
ตัดสินใจซื้อ เพราะเชื่อถือโครงการ หวังให้พ่อพักผ่อน ยามมารักษาตัวที่กรุงเทพฯ
ทีมข่าวฯ จึงได้ไปสอบถามกับ นายจิระเดช ชินจันทึก แฟนของ น.ส.สิริกัญญา ซึ่งได้เริ่มต้น ไล่เรียงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนนำไปสู่การโพสต์คลิปดังกล่าว ว่า ปกติแล้วครอบครัวอาศัยและทำธุรกิจ อยู่ที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี แต่เนื่องจากคุณพ่อของแฟนสาว มีอาการป่วยจากโรคประจำตัว ทำให้ต้องเดินทางมาพบแพทย์ที่กรุงเทพมหานคร เป็นประจำทุกเดือน
ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงเห็นว่า ควรที่จะจัดหาบ้านพักที่กรุงเทพฯ เอาไว้สักหลังหนึ่ง เพื่อให้คุณพ่อได้มาพักอาศัย ยามที่เดินทางมาพบแพทย์ เพื่อจะได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ประกอบกับ เมื่อพิจารณาจากราคาบ้านที่สูงถึงขนาดนี้ แถมโครงการก็มีความน่าเชื่อถือ และที่สำคัญบ้านที่เลือกนี้ ก็เป็นบ้านตัวอย่าง ที่มีเฟอร์นิเจอร์ Built in ทั้งหลัง! จึงทำให้ไม่ยากในการที่จะตัดสินใจซื้อ แม้จะมีราคาสูงถึงกว่า 40 ล้านบาทก็ตาม!
“เราซื้อบ้านหลังนี้ เมื่อเดือนตุลาคม 2558 และมีการโอนกรรมสิทธิ์ ไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 โดยในช่วงก่อนโอนฯ เราได้มีการเดินตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ซึ่งก็ไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด ในช่วงนั้น” นายจิระเดช กล่าวกับทีมข่าวฯ
ต่อมาประมาณ ช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2559 ที่ผ่านมา ทางครอบครัว จึงได้ขนย้ายสิ่งของเข้ามาอยู่อาศัย ซึ่งช่วงนี้นี่เอง ที่เกิดสิ่งผิดปกติขึ้น! โดยในช่วงกลางดึกของวันที่ 8 มิถุนายน 2559 ขณะที่กำลังนั่งทำงานอยู่ ได้ยินเสียงดังจุ๊กจิ๊กจุ๊กจิ๊กตลอดเวลา ด้วยความแปลกใจ จึงเดินตามเสียงไป ตรงบริเวณบัว ซึ่งทันทีที่เห็นก็แทบล้มทั้งยืน
เมื่อพบรอยรูพรุนโหว่ เนื่องจากถูกปลวกกิน และแถมเมื่อตรวจบัวไปรอบบริเวณบ้านอีกหลายๆ จุด ก็พบว่า โดนปลวกกินเช่นกัน และจากความเสียหายที่เห็นในขณะนั้น คาดว่าน่าจะถูกปลวกกินมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้วด้วย เนื่องจากปรากฏรอยผุพังทั่วไปทั้งบริเวณพื้นและผนังชั้นล่าง จนต้องลอกผนังออกมารื้อทิ้งทั้งหมด และลามไปจนถึง เฟอร์นิเจอร์ในบ้าน
นายจิระเดช กล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงเจือปนความเศร้าหมองว่า "คืนนั้น เป็นครั้งแรกที่ทางครอบครัว ทราบถึงปัญหา จึงตัดสินใจแจ้งไปยังทางเจ้าของโครงการ ซึ่งทางฝ่ายนั้น ก็รับทราบและตอบกลับมาว่าจะส่งคนมาตรวจสอบให้"
แต่แล้ว...คล้อยหลังเพียงวันเดียวหลังจากนั้น พวกเราก็ต้องตกตะลึง ซ้ำสอง! เพราะในวันที่ 9 มิถุนายน 2559 ขณะที่ฝนกำลังตกลงมาอย่างหนัก จู่ๆ ก็ได้ปรากฏว่ามีน้ำไหลซึมผ่านหลังคา ลงมาเจิ่งนองอยู่บริเวณภายในบ้าน! ซ้ำเข้าไปอีก จึงต้องมีการแจ้งไปยังเจ้าของโครงการ เพื่อขอให้เร่งเข้ามาให้การช่วยเหลือทั้งสองกรณีที่เกิดขึ้น
สุดทน จ่าย 40 ล้าน เจอกลิ่นยากำจัดปลวกคลุ้งบ้าน ต้องใส่หน้ากากอนามัยในบ้านตัวเอง “หลังจากแจ้งไปยังเจ้าของโครงการ ก็ได้มีการส่งคนเข้ามาตรวจสอบวัดค่าปลวกและฉีดปลวก รวมถึงแก้ปัญหาอุดรอยรั่วของหลังคา แต่ที่ยังติดใจอยู่ในตอนนั้น คือ เหตุใดจึงไม่ชี้แจงให้ทราบถึงสาเหตุที่เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ ให้ได้รับทราบบ้าง? แต่อย่างไรก็ดี ปัญหาที่ตามมา หลังการเข้ามาช่วยฉีดยากำจัดปลวก ก็คือ "กลิ่น" ที่เหม็นเกินกว่าจะทนได้ ซึ่งตอนนั้น ยอมรับเลยว่า พวกเรากันเองในครอบครัวก็มานั่งคิดกันว่า ทำไมเราถึงต้องมาทนอยู่กับสภาพเช่นนี้ ต้องใส่หน้ากากอนามัย ใช้ชีวิตอยู่ในบ้าน เพราะอะไรกัน...?
อีกทั้ง คุณพ่อก็มาป่วย ตอนนั้นรู้สึกกันแค่ว่า เราซื้อบ้านราคาตั้ง 40 ล้านบาท แต่เหตุใดกลับไม่มีความปลอดภัยในชีวิตเลย" คุณจิระเดช กล่าวกับทีมข่าวฯ ด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย หลังจากทอดถอนใจ คุณจิระเดช จึงกล่าวกับทีมข่าวฯ ต่อไปว่า "เมื่อทางโครงการรับปากว่า จะเข้ามาช่วยเหลือ แก้ไขในปัญหาที่เกิดขึ้น แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเดือน ทางครอบครัวกลับไม่พบว่า ได้มีการติดต่อเข้ามาเพื่อทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ทางครอบครัวจึงรู้สึกว่า เกินกว่าที่จะทนได้แล้ว จึงได้ตัดสินใจโพสต์คลิปดังกล่าวลงไปในโลกโซเชียลมีเดีย
ซึ่งหลังจากคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ทางเจ้าของโครงการ ได้พยายามติดต่อเข้ามานัดพูดคุย เพื่อเสนอแนวทางเยียวยาและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่อย่างไรก็ดี สิ่งที่สร้างความกังวลและทำให้ครอบครัวรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ การที่มีความพยายามติดต่อไปทางคุณพ่อ ซึ่งปัจจุบันมีอายุ 64 ปี และมีโรคหอบเป็นโรคประจำตัว เพื่อขอร้องให้มีการลบคลิปต้นตอของเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทั้งๆ ที่ ทางครอบครัวได้ชี้แจงไปแล้วว่าได้ลบคลิปที่ได้โพสต์ไปแล้ว แต่ในส่วนที่มีการแชร์ออกไปอย่างกว้างขวางนั้น เกินความสามารถที่จะไปตามลบได้หมดก็ตาม..."
ซึ่งเมื่อการสนทนามาถึงตอนนี้ ก็ถึงเวลา 15.00 น. ตามที่ทางเจ้าของโครงการนัดหมายกับทางครอบครัว "เรืองทอง" เพื่อขอเข้าหารือในประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นพอดิบพอดี ทำให้ คุณจิระเดช ขอตัวกับทีมข่าวฯ ไปต้อนรับ นายมงกุฎ เตโชฬาร ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และผู้ติดตามในฐานะผู้แทนเจ้าของโครงการบ้านหรูดังกล่าว โดยหลังการต้อนรับ ตัวแทนของครอบครัวเรืองทอง คือ คุณสิริกัญญา ก็ได้มานั่งพูดคุยกับ นายมงกุฎ และผู้ติดตาม ในห้องรับแขกของบ้านหลังที่กำลังมีปัญหาทันที
เอสซี แอสเสทฯ ยืนยัน พร้อมช่วยซ่อม การันตี เสร็จภายใน 1 เดือน โดยผู้แทนของบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เริ่มต้นการสนทนา ก่อนว่า “ก่อนอื่น ต้องขออภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะงานที่เราทำ ได้สร้างความไม่สะดวกในการอยู่อาศัยแก่ลูกค้า และการที่ทางเราขอนัดมาพูดคุยกันในวันนี้นั้น ก็เพื่อต้องการเข้ามาชี้แจง รายละเอียดให้ทางลูกค้าทราบว่า เราจะเข้ามาปรับปรุงและเยียวยา ในปัญหาหลักๆ คือ เรื่องปัญหาปลวกที่เข้ามากัดกินเนื้อไม้ภายในบ้าน ปัญหาดินทรุด และความเสียหายของบ่อปลา โดยเฉพาะเรื่องการซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย เราจะเข้ามาดูแลปรับปรุงให้เร็วที่สุด ภายในระยะเวลา 1 เดือน โดยจะมีช่างมืออาชีพเข้ามาดูแล” นายมงกุฎ กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทันทีที่จบประโยค ผู้สื่อข่าวทีมข่าวเฉพาะกิจ ถึงได้สอบถามไปว่า เบื้องต้นได้มีการเข้ามารับผิดชอบ ดูแลช่วยเหลืออย่างไรบ้างแล้ว?
นายมงกุฎ ได้ตอบเพียงสั้นๆ ว่า “เบื้องต้นได้เข้ามาดูแลเรื่องหลังคารั่ว น้ำรั่ว ฉีดปลวก ซึ่งแก้ปัญหาไปเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงเข้ามาซ่อมแซมปิดผนังเข้าไป เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงเข้ามาซ่อมแซมปิดผนังเข้าไปเหมือนเดิม ซึ่งเบื้องต้น ได้มีการพูดคุยกันว่า จะต้องเข้ามาตรวจอีกครั้งก่อน จึงจะสามารถลงมือปิดผนัง”
ผู้แทน เอสซี แอสเสทฯ ย้ำ ไม่เคยกดดันคู่กรณี
หลังสิ้นคำพูดดังกล่าว นางสาวสิริกัญญา ที่นั่งประจันหน้าอยู่ โดยมีสีหน้าไม่สู้ดีนักและร่ำไห้อยู่ตลอดเวลา จึงได้สอบถามกลับไปด้วยใบหน้าเคร่งเครียดว่า “ฝั่งบริษัทคุณ หวังเพียงแค่ชื่อเสียง กลัวเสียชื่อ โดยการติดต่อมากดดัน คุณพ่อ ให้ลบคลิป เราก็จัดการลบให้แล้ว ทำเท่าที่จะทำได้แล้ว จนครอบครัวเราต้องเจออะไรบ้างรู้ไหม? สมาชิกในครอบครัวภายในบ้านทะเลาะกันเอง พ่อกับลูกทะเลาะกัน พ่อเครียดมาก พ่อป่วย จนต้องเข้า รพ. รู้บ้างไหม?
ด้วยเหตุนี้ นายมงกุฎ จึงได้ชี้แจงกลับไปทันทีว่า “ทางเราไม่ได้กดดัน ให้เอาคลิปออก เราแค่บอกว่าการที่โพสต์ออกไป เกรงว่าจะเป็นการเปิดทางให้สื่อมวลชน หรือคนอื่นเข้ามาวิจารณ์เรื่องราวออกไปในแง่เสียๆ หายๆ เท่านั้น เราจึงต้องติดต่อไปพูดคุยกับทางคุณพ่อ แต่ขอยืนยันว่า ไม่ได้มีการกดดันแต่อย่างใด” สิ้นคำ นายมงกุฎ ก็ได้ตรงเข้าไปคุกเข่าตรงหน้า น.ส.สิริกัญญา ที่ในขณะนี้ ร่ำไห้เอาหน้าซบลงกับไหล่ของแฟนหนุ่ม พร้อมกับไหว้แสดงความเห็นใจก่อนที่จะกล่าวต่อไปว่า “ผมขอโทษจริงๆ ไม่เคยคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เราไม่ได้มีเจตนาที่จะให้เกิด ถ้ามีโอกาสจะขอเข้าไปเยี่ยมคุณพ่อด้วย เราไม่เคยมองเป็นเรื่องธุรกิจ ผมเสียใจจริงๆ ผมเองไม่ได้จะหนี แต่อยากให้ลูกค้า ได้ดูแลจิตใจและสุขภาพกันก่อน เพราะเรื่องการซ่อมแซมไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่เท่ากับอาการและชีวิตของคุณพ่อ เหตุการณ์วันนี้ ผมเสียใจจริงๆ"
เมื่อได้ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น ผมรู้สึกเสียใจมาก และเห็นใจลูกค้าอย่างสุดซึ้ง ดังนั้นคงต้องให้เวลาลูกค้าดูแลจิตใจก่อน แล้วจะนัดมาพูดคุยกันใหม่อีกครั้ง” ผู้แทนของบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในฐานะเจ้าของโครงการ กล่าวย้ำในที่สุด
อย่างไรก็ดี ในขณะที่วงสนทนา กำลังเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย นั่นเอง นายยุทธพงศ์ เรืองทอง น้องชายคนเล็กของเจ้าของบ้าน รับสายวิดีโอคอลด่วนจากพี่สาว ซึ่งภาพที่ปรากฏ ณ วินาทีนั้นก็คือ ภาพของคุณพ่อ ที่กำลังนอนป่วยอยู่ใน รพ.แห่งหนึ่ง เมื่อเห็นดังนั้น เจ้าตัว จึงได้ยื่นโทรศัพท์ดัง กล่าวไปให้ทางผู้แทน บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เห็น นายมงกุฎ จึงเอื้อมมือไปจับที่แขนเพื่อปลอบโยน พร้อมกับกล่าวด้วยความเห็นใจว่า “ครับ ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณกำลังจะสื่อครับ แต่เดี๋ยวเราไว้คุยกัน” จากนั้น ก็ยกมือไหว้ลา แล้วเดินออกจากบ้านไป
ความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 6 ก.ค. 59 ทางบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้ส่งตัวแทนเข้ามาพบ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ พร้อมหนังสือชี้แจงข่าวกรณีการร้องเรียนบ้านในโครงการของบริษัทได้รับความเสียหาย โดยมีข้อความระบุ ดังนี้ ...
ในนามบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง จากกรณีดังกล่าวที่เป็นเหตุให้ลูกค้าได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ และขอแสดงความห่วงใยไปยัง ครอบครัวคุณสิริกัญญา เรืองทอง โดยขอให้บิดาหายจากอาการป่วยโดยเร็ว และมีสุขภาพแข็งแรง
ด้วยเจตนารมณ์ในการประกอบธุรกิจตามธรรมาภิบาลที่ดี โดยบริษัทฯ ยึดถือความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค และสังคมตลอดมา จากกรณีที่บ้านเกิดความชำรุดเสียหาย ทั้งจากปลวกและน้ำรั่วซึมจากหลังคา ซึ่งจากข้อเท็จจริงดังกล่าว บริษัทฯ ได้ดำเนินการเข้าแก้ไขปัญหา และติดตามผลมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ได้รับแจ้ง ณ วันที่ 9 มิถุนายน 2559 ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีการนัดหมายล่วงหน้าอีกครั้ง เพื่อสรุปการเก็บงานที่ได้รับผลกระทบ ในวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 เวลา 15.00 น. ตามที่ทราบแล้ว โดยบริษัทฯ มิได้เพิกเฉย หรือละทิ้งต่อภาระหน้าที่ ในฐานะผู้พัฒนาโครงการแต่ประการใด บริษัทฯ ขอแสดงความรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาทุกประการ พร้อมขออภัยอย่างสูง ณ โอกาสนี้
ท้ายที่สุดแล้ว... บทสรุปของบ้านหรูหลังนี้ จะจบลงอย่างไร จะมีแนวทางอย่างไร ในการให้ความช่วยเหลือ ทีมข่าวฯ ของเรา จะคอยตามติดเพื่อรายงานความคืบหน้าต่อไป
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/655616