ยุงลาย ต้นเหตุของไข้เลือดออก
ไข้เลือดออก (Dengue Fever) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี่ (Dengue) ที่แพร่สู่ร่างกายคนจากการกัดของยุงลายตัวเมีย ผู้ป่วยจะมีไข้สูง มีอาการป่วยรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา ยุงลายที่เป็นพาหะนำโรคเป็นยุงที่ออกหากินเฉพาะในตอนกลางวัน ชอบอาศัยอยู่ในแถบอากาศร้อนชื้น จึงพบได้มากในประเทศเขตร้อนในทวีปเอเชีย แอฟริกา อเมริกากลางและใต้ ตอนเหนือของออสเตรเลีย และตามหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก จากการแพร่ระบาดในวงกว้างอย่างรวดเร็ว ไข้เลือดออกจึงเป็นหนึ่งในโรคที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้ความสนใจ และประกาศให้เป็นโรคที่ควรเฝ้าระวัง
ประเทศไทยอยู่ในพื้นที่เขตร้อนชื้น จึงพบการแพร่กระจายของยุงลายได้มาก อาจพบโรคนี้ประปรายตลอดปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝนคือเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน มีฝนตกชุกและมีแอ่งน้ำท่วมขัง ซึ่งเป็นเสมือนแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โดยสถิติจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขของไทย 2 ปีล่าสุด พบว่ามีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกจำนวน 40,278 ราย โดยมีผู้เสียชีวิต 41 ราย ในปี 2557 และเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก 142,925 ราย เสียชีวิต 141 ราย ในปี 2558 โดยพบการระบาดของโรคมากที่สุดในบริเวณภาคกลาง ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรุงเทพมหานคร รวมทั้งเมืองใหญ่ทั่วปริมณฑลที่มีคนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ซึ่งเอื้อต่อการแพร่ระบาดของโรค ดังนั้น โรคไข้เลือดออกจึงเป็นโรคติดต่อที่มีการประกาศเตือนให้เป็นโรคเฝ้าระวังในประเทศไทย เพราะมีอัตราการป่วยและการแพร่ระบาดค่อนข้างสูง และมีแนวโน้มทางสถิติที่จะเพิ่มสูงขึ้นอีกเรื่อย ๆ
อาการของไข้เลือดออก
อาการเบื้องต้นคล้ายไข้หวัดทั่วไป เช่น มีไข้สูง ตัวร้อน ปวดหัว ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย แต่ผู้ป่วยไข้เลือดออกจะมีอาการแสดงที่รุนแรงกว่า คือ มีไข้สูงมาก ปวดหัวมาก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อทั่วลำตัว ในบางรายอาจคลื่นไส้อาเจียน อาจพบผื่นแดงหรือจ้ำเลือดใต้ผิวหนังทั่วตัว หรือมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา เช่น มีเลือดออกตามเนื้อเยื่อในร่างกายในรายที่ร่างกายอ่อนแอและมีภูมิคุ้มกันต่ำ
สาเหตุของไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออก เกิดจากยุงลายเพศเมียที่เป็นพาหะของโรค ดูดเลือดของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสเดงกี่ จากนั้นไวรัสเดงกี่จะเติบโตภายในท้องของยุงลาย เมื่อยุงลายกัดคนอื่นต่อไป เชื้อไวรัสนี้ก็จะแพร่เข้าสู่ร่างกายผู้ที่ถูกกัดไปด้วย
การวินิจฉัยไข้เลือดออก
สังเกตอาการด้วยตนเอง หากมีไข้สูงเฉียบพลัน ปวดหัว หรือมีผื่นแดงหรือห้อเลือด ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เมื่อพบแพทย์ แพทย์จะตรวจวัดความดันโลหิต สังเกตลักษณะอาการที่แสดง พร้อมกับการซักประวัติผู้ป่วย เพื่อดูความเสี่ยงและโอกาสว่าผู้ป่วยอยู่ในบริเวณที่มีการระบาดของไข้เลือดออกหรือไม่ และอาจตรวจเลือดเพื่อดูความผิดปกติของเซลล์เม็ดเลือดร่วมด้วย
การรักษาไข้เลือดออก
การรักษาผู้ป่วยไข้เลือดออกนั้นยังไม่มียารักษาเฉพาะโรค เป็นเพียงการรักษาประคับประคองตามอาการอย่างใกล้ชิด โดยทั่วไป ผู้ป่วยไข้เลือดออกจะมีไข้สูงมากและปวดหัวรุนแรง เบื้องต้นจึงใช้ยาระงับอาการ คือ Acetaminophen หรือ พาราเซตามอล ซึ่งเป็นยาแก้ปวดและลดไข้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน ซึ่งจะมีผลต่อเซลล์เม็ดเลือด อาจกระทบต่อภาวะที่มีเลือดออกซึ่งทำให้อาการแย่ลง ในกรณีที่ผู้ป่วยอาเจียนและอ่อนเพลียจากไข้ แพทย์จะให้น้ำเกลือเพื่อชดเชยการเสียน้ำในร่างกาย นอกจากนี้เป็นการรักษาตามอาการที่ป่วยและเฝ้าระวังการเกิดอาการแทรกซ้อน
การป้องกันไข้เลือดออก
ปัจจุบัน มีการประกาศใช้วัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกในบางประเทศ สำหรับในประเทศไทยวัคซีนที่ช่วยป้องกันโรคไข้เลือดออกยังอยู่ในกระบวนการค้นคว้าทดลอง เพื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติมในการรับรองประสิทธิผลทางการรักษา วิธีการป้องกันจึงเน้นไปยังวิธีการกำจัดยุงลายที่เป็นพาหะนำโรค และการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดโรคด้วยการดูแลตัวเอง
อาการของ ไข้เลือดออก
อาการของโรคไข้เลือดออกมักจะปรากฏหลังจากได้รับเชื้อแล้วประมาณ 5-8 วัน โดยทั่วไปแบ่งอาการตามระดับความรุนแรงของโรค คือ Dengue Fever, Dengue Hemorrhagic Fever และ Dengue Shock Syndrome ผู้ป่วยไข้เลือดออกที่เคยติดเชื้อไวรัสเดงกี่ชนิดใดไปแล้ว จะมีภูมิคุ้มกันของโรคและไม่ติดเชื้อสายพันธุ์นั้นอีกเป็นเวลา 6-12 เดือน นอกจากว่าผู้ป่วยจะได้รับเชื้อสายพันธุ์อื่น จึงจะป่วยซ้ำด้วยโรคเดิมอีก
ในรายที่มีการติดเชื้อซ้ำ อาการของโรคจะมีแนวโน้มความรุนแรงและการพัฒนาไปสู่ภาวะไข้เลือดออกภาวะที่รุนแรงขึ้นได้ โดยโรคไข้เลือดออกมี 3 ระดับอาการ ดังนี้
ไข้เลือดออก (Dengue Fever)
ผู้ป่วยจะมีไข้สูงมาก เป็นอาการนำประมาณ 2-3 วัน หลังจากนั้นจะมีอาการแสดงอื่นตามมา คือ ปวดหัว วิงเวียน คลื่นไส้อาเจียน ปวดรอบกระบอกตา ปวดตามกล้ามเนื้อ อาจมีผดผื่นแดงบริเวณผิวหนัง หากได้รับการดูแลรักษาเบื้องต้นและไม่มีการพัฒนาของโรคหรือเกิดภาวะแทรกซ้อน อาการจะทุเลาลงและหายป่วยได้เองภายใน 2-7 วัน
ไข้เลือดออกเดงกี่ (Dengue Hemorrhagic Fever)
ผู้ป่วยส่วนใหญ่คือผู้ที่ป่วยซ้ำด้วยไวรัสเดงกี่สายพันธุ์ที่ยังไม่เคยป่วย จึงยังไม่มีภูมิคุ้มกัน อาการรุนแรงกว่าไข้เลือดออกธรรมดา มีไข้สูงมาก ปวดหัวรุนแรง เบื่ออาหาร อาเจียนอย่างหนักหรืออาเจียนมีเลือดปน อาจมีเลือดกำเดาไหล หรือเลือดออกตามไรฟันมากผิดปกติ อาจพบจ้ำเลือดหรือห้อเลือดบริเวณผิวหนัง มีเลือดออกที่เนื้อเยื่ออวัยวะภายในต่าง ๆ ตับโต ความเข้มข้นของเลือดสูง ความดันเลือดต่ำ ผู้ป่วยในระยะนี้ถือเป็นภาวะวิกฤต ต้องคอยเฝ้าดูอาการและได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อควบคุมอาการไม่ให้พัฒนาไปสู่ภาวะช็อก
ไข้เลือดออกช็อก (Dengue Shock Syndrome)
มีเลือดออกในเนื้อเยื่อปริมาณมาก เกล็ดเลือดต่ำ พลาสมารั่ว เกิดภาวะน้ำท่วมปอด ความดันลดลงต่ำอย่างรวดเร็ว ตับทำงานผิดปกติหรือมีการติดเชื้ออย่างรุนแรงของอวัยวะภายใน สมองบวม ไตวาย จนนำไปสู่การช็อก เสี่ยงต่อการเสียชีวิต
สาเหตุของ ไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออกหรือไข้เดงกี่ เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี่ที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ยุงลายจะดูดเลือดของผู้ป่วยที่มีไวรัสเดงกี่ แล้วแพร่เชื้อเข้าสู่ร่างกายผู้ที่ถูกกัดคนต่อไป ไวรัสเดงกี่มีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ คือ DEN-1 DEN-2 DEN-3 และ DEN-4 ซึ่งแต่ละสายพันธุ์ทำให้ผู้ได้รับเชื้อมีอาการป่วยโรคไข้เลือดออกได้ 3 ภาวะ คือ Dengue Fever, Dengue Hemorrhagic Fever และ Dengue Shock Syndrome โดยผู้ติดเชื้อแต่ละสายพันธุ์จะมีภูมิคุ้มกันประมาณ 6-12 เดือนที่จะไม่ติดเชื้อตัวเดิมซ้ำอีก แต่สามารถกลับมาป่วยโรคไข้เลือดออกซ้ำได้ด้วยเชื้อสายพันธุ์อื่น และการป่วยซ้ำจะเพิ่มความเสี่ยงในการพัฒนาโรคให้ไปสู่ภาวะที่รุนแรงขึ้น
ยุงที่เป็นพาหะของโรคไข้เลือดออก คือ ยุงลายบ้านและยุงลายสวน เป็นยุงขนาดกลาง โดยเป็นยุงลายเพศเมียเท่านั้นที่จะดูดเลือดคนและสัตว์เลือดอุ่น ลักษณะภายนอกที่สังเกตได้คือลำตัวและขามีลายสีขาวสลับดำ ชอบอาศัยอยู่ในบริเวณอากาศร้อนชื้น อยู่ในที่มืดและอับชื้น วางไข่ในภาชนะที่มีน้ำขัง ออกหากินในเวลากลางวันยุงลายมีวงจรชีวิต 4 ระยะ คือ ระยะไข่ ระยะลูกน้ำ ระยะตัวโม่ง และระยะโตเต็มวัย โดยในระยะไข่ ยุงลายจะวางไข่ในน้ำนิ่ง หรือในภาชนะที่มีน้ำขัง ไข่ของยุงลายจะมีรูปทรงรี สีขาวนวล ยุงลายจะฟักตัวออกจากไข่ในเวลา 2-3 วัน และพัฒนาเรื่อย ๆ จนเป็นระยะโตเต็มวัย ยุงลายเพศเมียที่โตเต็มวัยจะบินออกหากินด้วยการดูดเลือดคนและสัตว์เลือดอุ่น รวมทั้งหาแหล่งขยายพันธุ์ได้ในรัศมี 1-2 กิโลเมตรจากแหล่งกำเนิด การหาเหยื่อของยุงลาย คือบินไปตามกลิ่นตัว อุณหภูมิของร่างกาย และคาร์บอนไดออกไซด์ที่มนุษย์และสัตว์เลือดอุ่นปล่อยออกมาจากกระบวนการหายใจ
สาธารณสุขทั่วโลกต่างรณรงค์ในการป้องกันโรคไข้เลือดออก โดยเน้นไปที่การศึกษาและกำจัดยุงลายซึ่งเป็นพาหะนำโรค กล่าวคือ วิธีการจัดการกับโรคที่ดีที่สุด คือการป้องกันตั้งแต่ต้นเหตุก่อนจะเกิดการแพร่ระบาดของโรค
(ข้อมูลจาก: บริษัทบริการกำจัดปลวกกำจัดแมลง หจก.มิสเตอร์ กิตติ พิชิตแมลง (Mr.Kitti Pest) Hotline : 062-782-4551)